นิทาน :ปลูกต้นไม้บนที่ดินคนอื่น

เคยได้ยินสำนวณนี้กันบ้างรึป่าวค่ะ...???

"ปลูกต้นไม้บนที่ดินคนอื่น"
บางคนอาจจะเคยได้ยินกันแล้ว....
สำหรับคนที่ไม่เคยได้ยินงั้นขอเล่าออกมาเป็นตัวอักษรแล้วกัน อื่ม...ลองจินตนาการสมมติให้เราเป็นชาวสวน... (จะจินตนาการออกไหม)

เราเป็นชาวสวน แต่....ไม่มีที่ดินทำสวนเป็นของตัวเอง ก็คือเราต้องเช่าที่นายทุนทำสวนไง แล้วนายทุนเจ้าของที่ดินก็ให้เราทำสัญญาเช่า 5 ปี นั้นคือว่า เมื่อครบกำหนด 5 ปีก็มาต่อสัญญากันที ด้วยทุนรอนอันน้อยนิด เราก็ขอเช่าเพียง 3 ไร่ แล้วที่ดินที่เราเช่าก็เหมาะแก่การปลูกทุเรียน มังคุด เงาะ (มันอยู่ทางตะวันออกหรือทางใต้ ของประเทศเรานี้แหละ....จังหวัดอะไรก็จินตนาการกันเอาเอง)

ดังนั้นเราก็ตกลงใจว่าจะปลูกพวก ทุเรียน มังคุด เงาะ เนี๊ยะแหละ (ไม่คิดออกนอกกรอบอ่ะน่ะ..อิอิอิ)
และแน่นอน....ไม่มีอะไรที่แน่ไปกว่านี้อีกแล้ว เราเป็นชาวสวนที่มุ่งมั่น ขยัน และอดทน ต้องดูแลต้นไม้ในสวนเป็นอย่างดีอยู่แล้วจริงป่ะ ในระหว่างที่ต้นไม้ยังไม่ให้ผลผลิต เราก็ปลูกพวกพืชล้มลุก เลี้ยงไก่ไข่ ขุดบ่อเลี้ยงปลา และอีกมากมาย

รายได้ก็ Ok อยู่กันอย่างพอเพียงได้...ก็ใช้ชีวิตแบบนี้มา 3 ปี กว่าๆ ต้นไม้ที่ปลูกไว้ก็เริ่มทยอยกันออกดอกออกผลให้ได้ชื่นใจ และตอบแทนความขยันของเรา ทำให้รายได้จากการทำสวนแห่งนี้ก็มีมากขึ้นๆๆ ด้วยความขยันและมีเงินมากขึ้น เราก็ขยายสวนออกไปอีก โดยขอเช่าที่ดินเพิ่ม เมื่อครบระยะเวลาสัญญาก็ต่อสัญญา มีเงินก็ขอเช่าเพิ่ม ครบสัญญาก็ต่อสัญญา.....

จากนั้นก็แต่งงานมีลูกๆๆ แล้วก็ทำสวนส่งลูกๆเรียน ก็ใช้ชีวิตแบบนี้มา 20 ปีกว่าๆ ชีวิตก็มีความสุขดี
แต่ในปีที่ 25 นายทุนเจ้าของที่บอกว่าจะไม่ให้ต่อสัญญาแล้วเพราะ เขามีแผนจะลงทุนใช้ที่ดินผืนนั้นมาทำเป็นรีสอร์ท ซึ่งให้ผลตอบแทนมากกว่าให้เช่าที่ดินมากมายนัก

นายทุนเจ้าของที่ดินเองก็ยังเห็นใจเรา ยังให้อยู่ต่อได้อีก 6 เดือน โดยไม่เก็บค่าเช่าเพิ่ม เพื่อเว้นระยะให้เราได้หาทางออกของชีวิต

เนื่องจากเป็นคนขยัน และ ออมเงินเป็นประจำ ไม่นานนักเราก็ได้ที่ดินทำสวนใหม่...จะโดยการซื้อมาเป็นของตัวเองหรือจะเช่าเขาก็ตาม แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่สร้างมาบนผืนดินของนายทุนเจ้าของที่นั้น...ก็ไม่อาจเอามาได้ เช่น ต้นทุเรียน มังคุด เงาะ ที่ตอนนี้มันสามารถให้ผลผลิตได้อย่างเต็มที่ ครั้นจะทำการล้อมต้นไม้ (ย้ายต้นไม้ใหญ่จากที่หนึ่งไปปลูกอีกที่หนึ่ง) ไปปลูกในที่ใหม่ มันก็ใช้เงินมากและอาจจะไม่คุ้มนัก

ณ ตอนนี้ก็ทำได้อย่างเดียวคือ...ยืนมอง สิ่งที่ตัวเองสร้างมากะมือ...นั้นหลุดไป นี้คือผลจากการปลูกต้นไม้บนที่ดินของคนอื่น....

หลายๆคนที่อ่านถึงตรงนี้อาจจะคิดว่า...เอาน่า....ไม่ตายก็หาใหม่ได้

แต่ถ้าเปลี่ยนจากเรื่องสมมติมาเป็นเรื่องจริงๆที่เห็นๆๆ กันอยู่ในปัจจุบันล่ะ แล้วก็บังเอิ๊ญบังเอิญ(อีกแหละ) เกิดขึ้นกะเรา....อาจจะยังนึกไม่ออกกันงั้น อ่านต่อ...

เปลี่ยนที่ดินที่เราเช่าจากนายทุน เป็นบริษัทที่เราทำงานอยู่ในปัจจุบัน เปลี่ยนจากชาวสวนมาเป็นลูกจ้างในบริษัท แล้วเรายังเป็นคนขยันทำงาน อดทน และทุ่มเทให้กับงาน กลับบ้านดึกๆดื่นๆ ทำงานจนเสร็จ มีผลงานมากมาย สิ้นปีได้โบนัส แล้วตรงนี้ก็คือต้นไม้ที่ให้ผลผลิต บริษัทพิจารณาแล้วว่าเรามีความสามารถก็เลื่อนตำแหน่งให้ แล้วนี่ก็คือการขยายสวนนั้นเอง ทำงานมา 20 ปีกว่าๆๆๆ อายุอานามก็น่าจะอยู่ที่ประมาณสัก 40 กลางๆ ถึงปลายๆ อยู่มาวันหนึ่งบริษัทที่เราทำงานอยู่ประสบปัญหาขาดทุนจำเป็นต้องปลดพนักงานบางส่วนออก.... ตรงนี้ก็คือ นายทุนจะเอาที่ไปทำรีสอร์ท และก็ให้บังเอิญอีก...แจ๊กพอตมาลงที่เรา...ต้องถูกปลดออก อ่ะ...ไม่เป็นไรบริษัทจ่ายค่าชดเชยให้ 6 เดือน...แล้วไปหางานใหม่ซะ อายุก็เยอะแหละ...เงินเดือนก็สูง ถ้าโชคดีก็น่าจะมีคนจ้าง...แต่อายุ 40 กลางๆ นี้ ลูกๆก็ยังเรียนกันไม่จบ แล้วก็กำลังใช้เงินกันเลยทีเดียว ก็ลำบากหน่อยตรงนี้ ผลงานที่สู่อุสาสร้างมาตลอดชีวิตการทำงาน...มันก็อยู่ที่นั้นแหละ อยู่ในองค์กรที่เราจากมานั้นแหละ...ถึงจะโชคดีได้งานใหม่ อาจจะไม่ต้องลดเงินเดือนจากเดิมเลย หรือลดเงินเดือนจากเดิมนิดหน่อยก็ตาม เราก็ต้องสร้างผลงานใหม่ให้เป็นที่ประจักให้กลับองค์กรใหม่จริงป่ะ....

แบบนี้แล้วมันจะต่างอะไรกับชาวสวน ต่างอะไรกับการปลูกต้นไม้ในที่ดินของคนอื่นกันเล่า....

อ่านถึงตรงนี้แล้ว...ไม่ได้ต้องการสื่อให้เห็นว่าการเป็นลูกจ้างเขานั้นมันไม่ดีน่ะ และไม่ได้ต้องการบอกว่าไม่ต้องรักองค์กรด้วย...แต่กำลังจะบอกว่าการเป็นลูกจ้างมันดี มันทำให้เรามีเงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ แต่ควรทุ่มเทกับงานแค่พอประมาณก็พอ...ไม่มากไม่น้อย ไม่ต้องเครียดมากมาย เพราะผลเสียจากการทำงานหนัก จะเกิดกับสุขภาพของเราเอง...องค์กรเขาก็แค่รับรู้ว่าเราทำงานดี และก็มีรางวัลอยู่ในรูปผลตอบแทนตามระเบียบบริษัท แต่คงไม่รับผิดชอบในสุขภาพของตัวเราขนาดนั้นหรอก จริงไหม? อย่างมากก็ช่วยออกค่ารักษาพยาบาลอ่ะ....

ดังนั้น ทำงานหนักพักผ่อนบ้างน่ะ....อะไรปล่อยวางได้ก็ปล่อย อย่าหลงยึดติดอยู่กับหัวโขน (ตำแหน่งหน้าที่การงาน)ที่เขาสวมให้ เพราะถึงไม่มีเรา เขาก็เอาคนอื่นมาเล่นแทนเราได้....เอาเป็นว่าเป็นห่วงทุกคนเลยแล้วกัน

เรียนรู้วิธีสร้างรายได้ จากการประยุกต์ใช้เครื่องมือออนไลน์
รถยังต้องมียางอะไหล่เลยใช่ป่ะล่ะ เราก็น่าจะมีรายได้กระเป๋าที่สองไว้กันบ้างนะ